ภาษีปากร่อง
ภาษีปากร่อง หรือ ภาษีเบิกร่องคือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บกับเรือสินค้าของชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านน่านน้ำและเข้ามาจอดเทียบท่าในประเทศไทย
โดยมีการกำหนดอัตราภาษีตามส่วนที่กว้างที่สุดของเรือหรือที่เรียกว่า ปากเรือ
โดยคิดอัตราภาษีเป็นวาและเรียกเก็บในอัตราที่แตกต่างกันเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรือของจีนเสียวาละ 40 บาท เรือกำปั่นฝรั่ง เสียวาละ 118 บาท ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่เรียกเก็บภาษีปากเรือหรือภาษีเบิกร่องนี้
คือ ฝ่ายรัฐบาลของประเทศไทย ภาษีที่ได้รับมานี้ จะถูกนำไปเป็นรายได้ของประเทศ
ต่อมาสมัยรัชกาลที่
3 เมื่อไทยทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ ใน
พ.ศ. 2369
ได้มีข้อตกลงว่ารัฐบาลไทยจะเก็บภาษีจากพ่อค้าอังกฤษรวมเป็นอย่างเดียวตามความกว้างของปากเรือ เรือสินค้าที่บรรทุกสินค้ามาขาย เก็บวาละ 1,700 บาท ส่วนเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขาย
เก็บวาละ 1,500 บาท
ข้อมูลสนธิสัญญาเบอร์นี
"รัฐบาลสยาม
ลงนามใน สนธิสัญญาเบอร์นี (Burney Treaty) กับอังกฤษ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369
นับเป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับแรกที่สยามได้ทำกับประเทศตะวันตก
ในสมัยรัตนโกสินทร์
ทั้งนี้
ร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) ทูตของอังกฤษ
เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม ในปี 2368 ตรงกับรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3
โดยมีความประสงที่จะขอเปิดสัมพันธไมตรีกับสยาม และขอความสะดวกในการค้าได้โดยเสรี
เขาต้องใช้เวลาถึง 5 เดือนจึงสามารถทำสนธิสัญญากับสยามได้สำเร็จ โดยจัดทำขึ้น 4
ภาษาได้แก่ ไทย อังกฤษ โปรตุเกส และมลายู
สนธิสัญญาเบอร์นีมีสาระสำคัญได้แก่
อนุญาตให้พ่อค้าสยามทำการค้ากับพ่อค้าอังกฤษได้อย่างเสรี
รัฐบาลสยามจะเก็บภาษีจากพ่อค้าอังกฤษตามความกว้างของปากเรือ
เจ้าพนักงานสยามมีสิทธิ์ลงไปตรวจสอบสินค้าของพ่อค้าชาวอังกฤษ
และชาวอังกฤษที่เข้ามาค้าขายในประเทศสยามจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสยามทุกประการ
การทำสนธิสัญญาเบอร์นีก่อให้เกิดการขยายตัวด้านการค้าต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจสยาม 2 ประการคือ
ทำให้รัฐต้องปรับวิธีการหารายได้และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในรูปภาษีมากขึ้น
และก่อให้เกิดการผลิตเพื่อการค้าส่งออกเพิ่มขึ้น
ในปลายสมัยรัชกาลที่
3 รัฐได้หันกลับมาใช้นโยบายการค้าผูกขาดอีกครั้ง
ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญาเบอร์นี
ก่อให้เกิดปัญหาทางการค้าระหว่างสยามกับอังกฤษ นำไปสู่การทำ สนธิสัญญาเบาริง (Bowring treaty)
ในปี 2398 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4
ซึ่งสยามต้องยอมรับระบบการค้าเสรีของอังกฤษในที่สุด"