วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

ภาษีปากร่อง


ภาษีปากร่อง





ภาษีปากร่อง หรือ ภาษีเบิกร่องคือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บกับเรือสินค้าของชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านน่านน้ำและเข้ามาจอดเทียบท่าในประเทศไทย โดยมีการกำหนดอัตราภาษีตามส่วนที่กว้างที่สุดของเรือหรือที่เรียกว่า ปากเรือ โดยคิดอัตราภาษีเป็นวาและเรียกเก็บในอัตราที่แตกต่างกันเช่น ในสมัยรัชกาลที่ 2 เรือของจีนเสียวาละ 40 บาท  เรือกำปั่นฝรั่ง เสียวาละ 118 บาท  ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่เรียกเก็บภาษีปากเรือหรือภาษีเบิกร่องนี้ คือ ฝ่ายรัฐบาลของประเทศไทย ภาษีที่ได้รับมานี้ จะถูกนำไปเป็นรายได้ของประเทศ
ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3  เมื่อไทยทำสนธิสัญญาเบอร์นีกับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2369 ได้มีข้อตกลงว่ารัฐบาลไทยจะเก็บภาษีจากพ่อค้าอังกฤษรวมเป็นอย่างเดียวตามความกว้างของปากเรือ  เรือสินค้าที่บรรทุกสินค้ามาขาย เก็บวาละ 1,700 บาท  ส่วนเรือที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าเข้ามาขาย เก็บวาละ 1,500 บาท


ข้อมูลสนธิสัญญาเบอร์นี
"รัฐบาลสยาม ลงนามใน สนธิสัญญาเบอร์นี (Burney Treaty) กับอังกฤษ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369 นับเป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับแรกที่สยามได้ทำกับประเทศตะวันตก ในสมัยรัตนโกสินทร์
ทั้งนี้ ร้อยเอกเฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) ทูตของอังกฤษ เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม ในปี 2368 ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมีความประสงที่จะขอเปิดสัมพันธไมตรีกับสยาม และขอความสะดวกในการค้าได้โดยเสรี เขาต้องใช้เวลาถึง 5 เดือนจึงสามารถทำสนธิสัญญากับสยามได้สำเร็จ โดยจัดทำขึ้น 4 ภาษาได้แก่ ไทย อังกฤษ โปรตุเกส และมลายู
สนธิสัญญาเบอร์นีมีสาระสำคัญได้แก่ อนุญาตให้พ่อค้าสยามทำการค้ากับพ่อค้าอังกฤษได้อย่างเสรี รัฐบาลสยามจะเก็บภาษีจากพ่อค้าอังกฤษตามความกว้างของปากเรือ เจ้าพนักงานสยามมีสิทธิ์ลงไปตรวจสอบสินค้าของพ่อค้าชาวอังกฤษ และชาวอังกฤษที่เข้ามาค้าขายในประเทศสยามจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสยามทุกประการ
การทำสนธิสัญญาเบอร์นีก่อให้เกิดการขยายตัวด้านการค้าต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโครงสร้างเศรษฐกิจสยาม 2 ประการคือ ทำให้รัฐต้องปรับวิธีการหารายได้และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในรูปภาษีมากขึ้น และก่อให้เกิดการผลิตเพื่อการค้าส่งออกเพิ่มขึ้น
 ในปลายสมัยรัชกาลที่ 3 รัฐได้หันกลับมาใช้นโยบายการค้าผูกขาดอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในสนธิสัญญาเบอร์นี ก่อให้เกิดปัญหาทางการค้าระหว่างสยามกับอังกฤษ นำไปสู่การทำ สนธิสัญญาเบาริง (Bowring treaty) ในปี 2398 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งสยามต้องยอมรับระบบการค้าเสรีของอังกฤษในที่สุด"